รีวิวหนังแฟนตาซี เรื่อง The Falcon And The Winter Soldier (2021) เดอะฟอลคอนและเดอะวินเทอร์โซลเจอร์ มินิซีรีส์อเมริกันที่สร้างสำหรับ Disney+ โดย Malcolm Spellman และเขียนโดย Derek Kolstad ซึ่งเคยทำงานในแฟรนไชส์ John Wick มาก่อน
เรื่องราวมีพื้นฐานมาจากตัวละครของ Marvel มิกส์ที่มีชื่อเดียวกันคือ แซม วิลสัน / ฟอลคอน และ บัคกี้ บาร์นส์ / วินเทอร์ โซลเยอร์ เป็นซีรีส์ Disney Plus เรื่องที่สองที่มีฉากอยู่ใน Marvel Cinematic Universe (MCU)
เดินเรื่องต่อเนื่องกับภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ ของแฟรนไชส์ เนื้อเรื่องเกิดขึ้นหลังจาก อเวนเจอร์ส: เผด็จศึก ในปี 2019 และก่อนหน้าเหตุการณ์ใน สไปเดอร์-แมน ฟาร์ ฟรอม โฮม ผลิตโดย มาร์เวลสตูดิโอ ควบคุมบทโดยมัลคอล์ม สเปลล์แมน และ คาริ สค็อกแลนด์ เป็นผู้กำกับการแสดง ช่องทางการรับชม ดูหนังฟรีออนไลน์
The Falcon And The Winter Soldier (2021) เรื่องย่อ
พร้อมทั้งตัวแปรมากมายที่ทำให้บทพิสูจน์การเป็นซูเปอร์ฮีโร่ของพวกเขาเต็มไปด้วยความยากลำบาก ท่ามกลางภัยก่อการร้ายจากกลุ่มก่อการร้ายใหม่ที่เกิดจากการทดลองของซูเปอร์โซลเจอร์ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และภัยซ่อนเร้นภายในที่หวังจะสั่นคลอนโลกทั้งใบให้ตกอยู่ในความโกลาหล
และแน่นอนซีรีส์ก็ยังได้รับคะแนนและคำวิจารณ์ในแง่บวก แต่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าซีรีส์ในจักรวาลเรื่องที่สองนี้ไม่เป็นสองรองใครอยู่ดี แต่จริง ๆ มันเป็นแบบนั้นหรือเปล่า
ข้อมูลภาพยนตร์
หมวดหมู่ : Action Hero
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Kari Skogland
ความยาว : 6 Episode
นักแสดงนำ : Sebastian Stan, Anthony Mackie
หลังโลกนี้ไม่มีกัปตันอเมริกา
บักกี้ก็เริ่มตั้งคำถามถึงความเหมาะสมของเพื่อนคนใหม่ที่เขาเพิ่งทำความรู้จัก จนกระทั่งเกิดเรื่องบางอย่างที่ทำให้โล่นั้นตกไปอยู่ในมือของ จอห์น วอล์คเกอร์ในฐานะกัปตันอเมริกาคนใหม่ที่รัฐบาลอเมริกาแต่งตั้ง พวกเขาจึงต้องกลับมาเพื่อหาทางที่จะพิสูจน์ว่าใครกันแน่ที่คู่ควรกับโล่
แต่ไม่ทันไรผลพวงจากอดีตก็ได้สร้างกลุ่มผู้ก่อการร้ายทรชนที่ทรงพลัง แฟล็ก สแมชเชอร์ ที่หวังจะใช้เซรั่มวิเศษที่สร้างกัปตันอเมริกา นำกองทัพที่ทรงพลังและอำนาจเพื่อล้างบางโลกนี้ให้ใสสะอาดตามความเชื่อของพวกเขา
แซมและบัคกี้จึงต้องจับมือกันชั่วคราวเพื่อออกตามหาเบาะแสความจริง และร่วมต่อสู้เพื่อหยุดยั้งแผนการร้ายครั้งใหญ่ให้ได้ ก่อนที่จะสายไป ร่วมกับพันธมิตรเก่าและใหม่ อย่าง ชารอน คาร์เตอร์ และ วาคิน ตอร์เรส
หรือแม้แต่ศัตรูคู่ฉกาจที่ถูกดึงมาร่วมเฉพาะกิจ อย่าง บารอน ซีโม การเดินทางครั้งนี้จะทำให้พวกเขาได้ค้นพบความหมาย ตัวตนที่แท้จริง และเป็นวีรบุรุษอย่างเต็มตัว
ความน่าสนใจของซีรีส์เรื่องนี้
แม้ว่าจะไม่มีกลยุทธ์ในการนำเสนอ เพราะบอกเล่าเรื่องราวได้ตรงไปตรงมา ไม่มีอะไรให้ติดตามนอกจากปล่อยให้เรื่องราวคลี่คลาย โดยแต่ละตอนจะค่อยๆ เผยประเด็นทั่วไปของอเมริกาที่ต้องการฮีโร่มาช่วยกอบกู้โลก โดยมีวาระซ่อนเร้นซ่อนอยู่
จนกระทั่งเกิดจุดแตกหักระหว่างตัวละคร แล้วฉันก็ทำภารกิจอย่างเต็มที่ สลับกับการบอกเล่ามุมมองของตัวละครหลักหรือแม้แต่ตัวละครอื่นๆ พร้อมทั้งมุขตลก คำพูดกัดๆ แนวหนังบัดดี้อเมริกันดีๆ เพราะเคมีระหว่างตัวละครหลักทั้งสองนั้นดีมาก
สามารถช่วยคลายเรื่องราวที่เข้มข้นและดิบกว่าหนังมาร์เวลทั่วไปได้ มีฉากเลือดเนื้อและการต่อสู้ที่รุนแรงมาก ทั้งระเบิด ต่อย จนเห็นเลือดสาดเบาๆ
น่าเสียดายที่แม้ว่ามันจะแน่นเรื่องรายละเอียด แต่จังหวะการเล่าเรื่องนั้นมันหักดิบเกินไป บางอย่างก็ดึงดราม่าจนอืด ฉากต่อสู้บางฉากก็มากไป แต่ละตอนมีความแน่นจนอืด หรือเร็วจนงง เนื้อเรื่องไม่ค่อยมีอะไรมากไปกว่าการสำรวจจิตใจของตัวละคร
ผสมกับการต่อสู้เพื่อยับยั้งอาชญากรรมที่เป็นในสไตล์หนังซูเปอร์ฮีโร่ แต่ลงรายละเอียดให้เห็นว่าการทำงานร่วมกับรัฐมันเป็นยังไง ไม่ใช่เพียงซูเปอร์ฮีโร่ที่คิดจะช่วยโลกก็ทำได้ แต่นั่นแหละ มันก็ยังเป็นซีรีส์มาร์เวลที่มีสถานะเป็นหนังยาว บอกเล่าในฉบับภาพยนตร์ยาวกว่า 6 ชั่วโมงเท่านั้นเอง
จุดเด่นและจุดด้อยของซีรีส์
หรือแม้แต่สิ่งที่ตัวละครหลักเผชิญอยู่พอถึงจุด ๆ หนึ่งซีรีส์ก็ผลักตัวละครเหล่านี้ไปในจุดที่เดาออกทันทีว่าจะเป็นยังไง แต่มันไม่ได้ปูจนเชื่อได้ว่าตัวละครสามารถเป็นแบบนั้นได้ ทั้ง ๆ ที่ในหกตอน มันน่าจะสามารถทำได้ โชคดีที่การปิดเรื่องราวในซีรีส์ทำได้ดีมาก ๆ คือจบแบบเต็มอิ่ม มีฉากแอ็คชั่นในสไตล์ไคลแม็กซ์ของภาพยนตร์
แต่ก็ยังมีการปูเรื่องไว้ไปสู่อนาคตของจักรวาล MCU อย่างภาพยนตร์ กัปตันอเมริกา ภาคที่ 4 ที่กำลังพัฒนาอยู่ เพื่อใช้เดินเรื่องต่อจากซีรีส์ นี่ก็เป็นข้อเสียหลัก ๆ เลยของซีรีส์ที่มาเพื่อต่อยอดจักรวาลและต้องให้ภาพยนตร์นั้นทำหน้าที่ต่ออีกที ทำให้ตัวละครของซีรีส์มีไว้เพื่อปูเนื้อเรื่องเท่านั้น
แต่มันก็ยังดูสนุกและลุ้นระทึกกับภารกิจเหล่านี้ได้อยู่ แม้ว่ามันจะตามสูตรสำเร็จหนังซูเปอร์ฮีโร่ แต่อุตส่าห์ปูความจริงจังของเรื่องและเหมือนจะค้นหาแนวทางแอ็คชั่นเจอแล้วทั้งที น่าจะทำได้ดีกว่านี้
The Falcon And The Winter Soldier (2021) ความรู้สึกหลังรับชม
แต่ซีรีส์นั้นไม่ได้เล่าย้อนให้เห็นว่าเป็นยังไง แต่ต่อยอดเรื่องราวจากปมเก่าที่มีอยู่เพื่อขยายและสะสางมันให้เสร็จ แถมยังพ่วงมาด้วยตัวละครใหม่ ๆ ที่น่าจะมาเป็นตัวละครหลักในจักรวาลอีกมากมาย
เพิ่มความงงของเนื้อเรื่องที่ถ้าใครไม่รู้จักหรือคุ้นเคยกับตัวละครเหล่านี้ ตัวละครบางตัวนั้นก็เหมือนมาเป็นตัวละครสนับสนุนให้เรื่องราวเดินไปข้างหน้าและเพิ่มความซับซ้อนเข้าไปซะเฉย ๆ แต่เรื่องการเฉลี่ยบทถือว่าทำได้ดีคือไม่รู้สึกว่าน้อยไป คุณอาจจะได้รู้จักตัวละครในเรื่องและเห็นการเติบโตและเปลี่ยนแปลงสู่การเป็นฮีโร่
แต่คุณจะไม่เข้าใจประสบการณ์และอิมแพ็คที่ตัวละครประสบพบเจอ ถ้าคุณไม่ได้ตามจักรวาลมาก่อนหน้า ซึ่งถ้าอยากเข้าใจมากขึ้น ก็ต้องไปหาหนังในจักรวาลที่มีตัวละครเหล่านี้ปรากฏอยู่ ได้แก่
Captain America: The First Avenger, Avengers, Captain America: The Winter Soldier, Avengers: Age of Ultron, Captain America: Civil War, Avengers: Infinity Wars, Avengers: Endgam
แต่ถึงแม้ผู้เขียนอยากแนะนำให้คนที่อยากดูเรื่องนี้หรือคนที่ไม่เข้าใจก็ไปดูหนังที่กล่าวมาข้างต้นได้เลย แต่ถ้าใครคิดจะดูเรื่องนี้ก็ดูได้เช่นกัน แต่อย่างที่ผู้เขียนบอกไปแล้วว่าซีรีส์ไม่ได้ทำให้คุณเข้าใจได้มากเท่ากับคนที่ติดตามจักรวาลมาเป็นเวลานาน น่าเสียดายถึงแม้ว่าหนังจะเล่าเรื่องที่เข้าใจง่ายก็ตาม
แต่ประเด็นของเรื่องไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ฉันก็กล้าเล่นได้ดี ทั้งประเด็นการทำงานเพื่อประเทศในสายตาคนทั่วโลก ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ ซึ่งแต่ละฝ่ายทำงานเพื่อสหายของตน แม้จะต้องตาย พวกเขาก็พร้อมที่จะทำเพื่อความอุ่นใจของตนเอง
ชีวิตของผู้ที่ต้องดิ้นรนหลังจากการสูญเสีย จิตวิทยาของความสามารถในการก่อกวนและคุกคามศัตรูโดยไม่ต้องใช้กำลัง เปิดใจถึงความแตกต่างของผู้คนในโลก ไม่ว่าจะเป็นสีผิว เชื้อชาติ หรือสถานะ ถึงแม้จะเป็นประเด็นเก่าที่ได้รับการบอกกล่าวใน MCU หลายครั้งก็ตาม
ยกเว้นที่พิเศษหน่อยคือเรื่องความสัมพันธ์และมิตรภาพของแซมและบักกี้ที่อาจจะไม่ได้เน้นมากเท่าที่ควร เพราะหมดไปกับมุกตลกจิกกัดที่ต่างฝ่ายต่างสรรหาเพื่อมาข่มกัน แต่ก็ทำให้ทั้งคู่ได้ค้นพบหนทางที่จะสามารถสนิทใจและเชื่อกัน ปริศนาและปมของเรื่องที่แอบแฝงก็จะชวนให้ว้าวเล็ก ๆ
แต่มันดันมาช่วงท้ายก็เลยทิ้งเป็นปมให้ติดตามต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งขอเดาเลยว่าปมของผู้บงการในเรื่องนั้นถือเป็นการกล้าเล่นกับตัวละครที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นในเรื่องด้วย เช่นเดียวกับปมของตัวละครที่ต้องเผชิญหน้ากับความกลัวและอดีตของตัวเอง
ที่เคยทำเรื่องเลวร้ายกับคนบริสุทธ์ คิดว่าตัวเองไม่ดีพอจะเป็นฮีโร่ จนยอมละทิ้งอุดมการณ์ตัวเอง แต่สุดท้ายเมื่ออยู่ในภาวะคับขัน มันก่อได้สร้างวีรบุรุษคนใหม่ แบบที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
รีวิวสรุปเนื้อหาโดยรวม
หรือประเด็นเก่าเล่าใหม่ในเรื่องเข้มข้นได้อารมณ์ถึงความหม่นหมองกว่าซีรีส์มาเวลทั่วไป แต่ด้วยจังหวะการเล่าเรื่องที่ไม่สม่ำเสมอ อืดบ้าง เร็วเกินไปบ้าง บวกกับตัวละครที่เยอะเกินที่จะจดจำทำให้การปูตัวละครไปสู่จุดไคลแม็กซ์ของเรื่องมีปัญหา ถึงจะมีตัวละครหลักไม่ถึงสิบคน แต่ตัวละครเหล่านี้ล้วนถูกปูมาก่อนหน้าแล้วในจักรวาล MCU
มันเลยทำให้มันเป็นซีรีส์ที่ถ้าใครคิดจะดูก็คงต้องไปหาหนังในจักรวาลมาดูก่อนหน้าเพื่อทำความเข้าใจจริง ๆ มันเป็นซีรีส์ที่มีไว้สำหรับคนที่ชอบตัวละครจริง ๆ ถ้าไม่ชอบคุณก็จะเฉย ๆ ไม่เข้าใจไปเลย มันขายความเท่และตัวละครแซมกับบักกี้
และโปรดักชั่นทั้งดนตรีและความเป็นภาพยนตร์ก็ธรรมดาตามสไตล์หนังมาร์เวล โชคดีที่ซีรีส์จบได้ครบถ้วนสมบูรณ์และปิดฉากการเดินทางของตัวละครเพื่อไปสู่สิ่งที่หนักหน่วงกว่าในอนาคต ถ้าคุณเป็นคนที่อยากดูอะไรผ่าน ๆ ฆ่าเวลาในดิสนีย์พลัส เรื่องนี้ข้ามไปเลยจะดีกว่าค่ะ