รีวิว Ant Man And The Wasp Quantumania (2023) ตะลุยมิติควอนตัม
Ant Man And The Wasp Quantumania ตะลุยมิติควอนตัม “เป็นหนังแนวซูเปอร์ฮีโร่สัญชาติอเมริกันที่ถูกสร้างขึ้นจากตัวละครมาร์เวลคอมิกส์ ได้แก่ สกอตต์ แลง / แอนท์-แมน และ โฮป แวน ไดน์ / วอสพ์
ภาพยนตร์นี้ถูกผลิตโดยสตูดิโอของมาร์เวลสตูดิโอส์ (Marvel Studios) และมีการจัดจำหน่ายโดยวอลต์ดิสนีย์)เป็นภาคต่อของ มนุษย์มดมหากาฬ (2015) และ แอนท์-แมน และ เดอะ วอสพ์ (2018) และเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล (MCU) สำหรับเรื่องราวในหนังเรื่องนี้จะดำเนินไปเช่นไร จะสนุก และน่ารับชมแค่ไหน ไปติดตามต่อในรีวิวหนังแฟนตาซี จากทางเราได้เลย
หลังอ่านรีวิวจากทีมงานเราจบแล้ว ใครอยากลองชมหนังเรื่องนี้ เราขอแนะนำเว็บ doonungvip.com สุดยอดเว็บดูหนังออนไลน์เต็มเรื่อง คุณภาพความคมชัดระดับ 4K
ข้อมูลทั่วไป
จักรวาลภาพยนตร์ของ Marvel Studios หรือ MCU (Marvel Cinematic Universe) ได้เข้าสู่เฟสที่ 5 ในมหากาพย์มัลติเวิร์ส (Multiverse Saga) อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว นับตั้งแต่ MCU ก้าวเข้าสู่เฟส 4 หลังจากเหตุการณ์ใน Avengers: Endgame ปี 2019 ทุกคนก็ทราบดีว่า ภาพรวมของเรื่องราวนั้นดูจะเซื่องซึมลงไป ธีมมัลติเวิร์สที่เป็นจุดเด่นและจุดขายก็เป็นเพียงความรู้สึกเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น เนื่องจากไม่ได้มีอะไรที่ดูเซอร์ไพรหรือให้ประทับใจ
อีกทั้งหนังและซีรีส์ในเฟส 4 ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นหนังแค่จะเน้นในการเปิดตัวฮีโร่ใหม่ หรือรวมการกลับมาของฮีโร่เก่า แทบจะไม่มีช่วงเวลาที่เกิดความตื่นเต้นมากนักในเฟส 4 นั่นเอง แม้กระนั้น MCU ยังคงเป็นแฟรนไชส์ที่คนส่วนใหญ่ติดตามอย่างใกล้ชิดอยู่ ดังนั้นคาดหวังว่าเรื่องราวในเฟส 5 อาจจะสามารถดึงดูดความสนใจและความตื่นเต้นได้มากขึ้นในอนาคต
ในปีนี้ MCU ได้เข้าสู่เฟสที่ 5 และเป็นปีที่หนังเปิดตัวจักรวาลในเฟสนี้ คือหนังเดี่ยวภาคที่ 3 ของ สก็อต แลง (Scott Lang) หรือที่เรียกว่าแอนท์แมน (Ant-Man) นักรบซูเปอร์ฮีโรพลังมด ซึ่งเป็นสมาชิกของ Avengers ที่ยังคงมีบทบาทอยู่ในจักรวาล MCU นับตั้งแต่เริ่มต้น
หนังเดี่ยวของแอนท์แมนได้แบ่งเป็นภาค 2 เรื่อง คือ Ant-Man (2015) และ Ant-Man and the Wasp (2018) ทั้งคู่เป็นหนังที่ยังคงยึดสไตล์รอมคอมแนวครอบครัว การนำเสนอหนังแนวจารกรรมที่มีความเฮฮา ถึงแม้ว่าหนังอาจจะไม่ได้ดังหรือได้รับกระแสตอบรับดีเหมือนกับหนังซูเปอร์ฮีโรอื่นๆ แต่แอนท์แมนก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเมื่อตอนที่หนังออกมายังมีคนที่รักและชื่นชอบหนังหรือตัวละครของเรื่องนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว
ในภาคนี้ได้ผู้กำกับอย่างเพย์ตัน รีด (Peyton Reed) ที่เคยกำกับภาค 1 และ 2 กลับมาควบคุมการกำกับเหมือนเดิม อย่างไรก็ตามในส่วนของการเขียนบทมีการเปลี่ยนแปลงได้ผู้เขียนบทอย่างเจฟฟ์ เลิฟเนสส์ (Jeff Loveness) ผู้เคยเขียนบทในซีรีส์แอนิเมชันสุดฮิต Rick and Morty ซึ่งได้รับคำขอให้เขียนบท Avengers: The Kang Dynasty ในเฟส 6 แล้วเป็นที่เรียบร้อย
นอกจากนี้ นักแสดงชุดเดิมทุกคนจะกลับเจอกันแบบครบๆ ในภาคนี้อีกครั้ง รวมถึงการนำเอานักแสดงชุดใหม่เข้ามาในทีมอีกด้วย ทั้งยังมีนักแสดงเซอร์ไพรส์ที่ยังไม่เปิดเผยบทบาทอยู่ เป็นที่ต้องตั้งตารอที่ต้องไปดูในหนังกันเอาเอง
ตัวละครหลักแนะนำ
พอล สตีเฟน รอด กลับมาอีกครั้งในบทบาทของ สกอตต์ แลง หรือ Ant-Man หลังจากเขาผ่านประสบการณ์ในมิติควอนตัม ในขณะที่เหตุการณ์ที่ทานอสได้ดีดนิ้วด้วยพลังของอินฟินิตี้สโตน เป็นเหตุที่สิ่งมีชีวิตหายไปกว่าครึ่งจักรวาล แต่ สกอตต์ แลง ที่อยู่ในมิติควอนตัมไม่ได้รับผลกระทบ และเวลาในมิติควอนตัมผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ในเวลาเชื่อมโยงกลับสู่โลกจริง ลูกสาวของเขาก็ต้องเติบโตและเผชิญหน้าชีวิตกับชีวิตในวัยเด็กมาอย่างโดดเดี่ยว
แคทริน นิวตัน รับบทเป็น แคสซี่ แลงก์ ลูกสาวของ สกอตต์ แลง ได้มีการเปลี่ยนแปลงนักแสดงจาก Abby Ryder Fortson จากภาคก่อนหน้านี้ ในภาคนี้ แคสซี่ แลงก์ เธอเป็นตัวเริ่มต้นของเหตุการณ์ทั้งหมด หลังจากที่เธอส่งสัญญาณบางอย่างเข้าสู่มิติควอนตัม ทำให้เธอและครอบครัวถูกดูดเข้าสู่มิติดังกล่าว
อีแวนเจไลน์ ลิลลี รับบทเป็น โฮป แวน ไดน์ หรือ เดอะ วอสพ์ ที่ต้องมาเผชิญกับภัยร้ายครั้งใหม่จากมิติควอนตัมที่น่ากลัวยิ่งกว่าเดิม
จอนาทัน เมเจอส์ รับบทเป็น นาธาเนียล ริชาร์ดส หรือ แคงผู้พิชิต ในจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวลที่จะเป็นวายร้ายที่คาดว่าจะเป็นตัวร้ายหลักในภาพยนตร์มาร์เวลสองเฟสถัดไป วายร้ายจอมวางแผนนี้มาพร้อมกับกองทัพขนาดยิ่งใหญ่ และเขายังควบคุมเทคโนโลยีที่สามารถเดินทางข้ามเส้นเวลาได้อีกด้วย จุดมุ่งหมายของเขาคือการครองครองจักรวาลให้ได้มากที่สุด
ไมเคิล ดักลาส รับบทเป็น แฮงค์ พิม ต้องเผชิญหน้ากับความลับที่เกี่ยวข้องกับมิติควอนตัมที่ถูกเก็บซ่อนไว้เกี่ยวกับภรรยาในอดีตของเขา
เรื่องย่อ
Ant-Man and the Wasp: Quantumania (แอนท์-แมน และ เดอะ วอสพ์: ตะลุยมิติควอนตัม) นำเรากลับสู่การผจญภัยครั้งใหม่ของ Scott Lang หรือ Ant-Man (รับบทโดย Paul Rudd) ครั้งนี้เขาและครอบครัวต้องเผชิญกับอันตรายใหม่ที่มีความลึกลับมากขึ้น ที่เรื่องราวเริ่มต้นจากการวิจัยใหม่ของ Cassie Lang (รับบทโดย Kathryn Newton) ลูกสาวของ Scott ที่เกิดความผิดพลาดและทำให้ทุกคนถูกดึงเข้าสู่มิติควอนตัม
ในโลกควอนตัมที่ลึกลับ ทุกคนเริ่มค้นพบความลับที่มีอยู่ และความเชื่อมโยงกับ Janet van Dyne (รับบทโดย Michelle Pfeiffer) ผู้เคยติดอยู่ในมิตินี้มา 30 ปี โดยมีการเปิดเผยเรื่องราวที่เธอไม่เคยบอกครอบครัว มิติควอนตัมยังซ่อนเรื่องลึกลับอยู่ และจากนั้นความอันตรายก็เพิ่มขึ้น เมื่อถูกเปิดเผยว่ามีวายร้าย Kang the Conqueror (รับบทโดย Jonathan Majors) ผู้มีพลังครองเวลาอันอันตราย ที่จะทำให้ Scott และครอบครัวต้องเผชิญหน้ากับความอันตรายที่มากยิ่งขึ้น
วิเคราะห์เรื่อง Ant Man
การเปลี่ยนผู้เขียนบทนั้นทำให้มีผลกับเนื้อเรื่องและโทนของหนังได้อย่างชัดเจน ซึ่งอาจเกิดจากความต้องการที่ต้องให้เนื้อเรื่องสอดคล้องกับธีมความเป็นมัลติเวิร์ส
น่าโชคดีที่หนัง Ant-Man และหนัง Avengers ต่างก็ได้ปูเนื้อเรื่องเกี่ยวกับอนุภาคพิม (Pym Particles) และมิติควอนตัม (Quantum Realm) ไว้ให้ทุกคนได้เข้าใจได้ง่ายและครอบคลุมไปบ้างแล้ว เป็นผลให้ในภาคนี้การดำเนินเรื่องเป็นไปอย่างน่าตื่นเต้นและรวดเร็ว กระชับ ไม่ต้องเสียเวลาในการอธิบายอะไรมาก โดยหนังเปลี่ยนสไตล์จากการเป็นหนังรอมคอมครอบครัวและจารกรรมในภาค 1 และ 2 เป็นหนังแอ็กชันผจญภัยที่มีองค์ประกอบแฟนตาซีสุดๆ อย่างน่าสนใจ
เมื่อเริ่มเข้าสู่เรื่อง มีความรู้สึกตื่นเต้นกับมิติควอนตัมเป็นพิเศษ ซึ่งมันไม่ใช่แค่การโผล่มาเป็นภาพมัลติเวิร์สเฉยๆ แต่มันเหมือนเป็นการจักรวาลขึ้นมาเลย โดยแบ่งเป็นมิติโซนต่าง ๆ ซึ่งงานซีจีที่ผ่านมาได้รับการยอมรับและทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ในหนังนี้เราจะได้สัมผัสประสบการณ์ในมิติที่ถูกแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ พบกับสิ่งมีชีวิตและถิ่นที่อยู่ที่ดูแปลกตาไป ที่สะท้อนความเพี้ยนแปลกแต่ก็น่าสนใจ ทั้งส่งผลให้เนื้อเรื่องดำเนินไปในทิศทางที่แปลกตาออกไปจากเดิม เป็นการผจญภัยกับชนเผ่าและสัตว์ประหลาดๆ พร้อมกับการเผชิญหน้ากับผู้มีอิทธิพล และการรวมพลังเพื่อสู้กับอำนาจชั่วร้าย คล้ายกับการแบ่งบางฉากและเส้นเรื่องบางจุดที่ทำให้นึกถึงหนังอื่น ๆ ที่เราเคยดูมา ให้ความรู้สึกตะหงิด ๆ ในบางจุด
อย่างเช่นบรรดาหนัง Avengers และ Guardians of the Galaxy นี่จะชวนให้เรานึกถึงหนังอื่น ๆ อีกมากมาย เช่นพืชและสัตว์ที่แอบคล้ายกับ Avatar ความห้าวและความผิดพลาดระดับมัลติเวิร์สในการกระทำของแคสซี นอกจากนี้ยังทำให้นึกถึงเหตุการณ์ใน Spider-Man: No Way Home (2021) เมื่อฉากรบพุ่งการทำสงคราม ฉากเจรจากับสัตว์ในมิติควอนตัม รวมถึงบรรดาตัวละครน่ารักและแปลกตาที่ดูคล้ายให้ได้นึกถึง Star Wars ในภาพท้ายๆ ของ Star Wars: Episode VI – Return of the Jedi (1983) และ Star Wars: Episode IX – The Rise of Skywalker (2019) และยังมีเหตุการณ์กับแคง เจ้าแห่งมิติควอนตัม ทำให้นึกถึง Tron อยู่นิดหน่อย
หนังนี้มีความสามารถในการผสมความมุกฮาความมุกแบบไดอะล็อก และจังหวะการเล่าเรื่องที่ปั่นๆ มีความกาวหน่อยๆ ความอืดอาดบางอย่างก็ให้นึกถึงการ์ตูน Rick and Morty หน่อยๆ ที่มีกลิ่นอายความฮาเกรียนในภาค 2 อาจจะน้อยลงจากภาคแรก และการไม่มีสมาชิก 3 เกรียนของลูอิสก็หายไป
แต่ยังพอมีมุกของบทสนทนาแทรกนิดหน่อยและบรรยากาศยังคงสนุกได้อย่างไม่แพ้ พร้อมกับมุกจังหวะผิดนรกที่ถือเป็นงานถนัดของแอนท์แมนเลยก็ว่าได้ ในภาคนี้ยังคงให้ความเพลิดเพลิน โดยผสมความตื่นตาตื่นใจและความเล่นใหญ่เล่นโตในรูปแบบแฟนตาซีที่น่าติดตาม
การแสดงของตัวละครในภาคนี้ได้ถูกกระจายอย่างมีเสน่ห์และเข้ากับบทบาทมากขึ้นจาก 2 ภาคแรก ที่มีการแบ่งเรื่องออกเป็น 2 เส้นเรื่องนั่นเอง แต่ความสำคัญที่สุดคงหนีไม่พ้นกับตัวร้ายออย่าง แคงผู้พิชิต (Kang the Conqueror) ซึ่งถูกรับบทโดย โจนาธาน เมเจอร์ส (Jonathan Majors) นี่ต้องยกว่าเป็นคนที่ยกตัวร้ายที่น่าเกรงขาม มากับบุคลิกที่เป็นเจ้าพ่อมาดเข้ม มีความเจ้าเล่ห์
แต่เมื่อเข้าสู่บทที่โหดร้ายก็สามารถใส่ได้แบบเดือดๆ เลยแหละ ฉากต่อสู้ดูรู้สึกเหมือนแคงจะเป็นนักมวยทำให้รู้สึกเหมือนกำลังดู Creed ผสมความตื่นตาตื่นใจและความดุเดือดได้อย่างยอดเยี่ยม นี่อาจจะเป็นตัวร้ายประจำตำนานการผจญภัยนี้ที่โหดกว่าธานอสเลยก็ว่าได้
แต่จะบอกเถอะว่าในความรู้สึกความน่ากลัวของแคงอาจจะยังไม่ได้เกินความคาดหมายนัก ถ้าหากใครเคยติดตามธีมมัลติเวิร์สหรือชมซีรีส์ Loki (2021) คุณอาจจะสามารถคาดเดาได้ว่าความอันตรายของแคงในระดับมัลติเวิร์สเกิดขึ้นอย่างไร และความสำคัญของเขาเป็นตัวร้ายที่มีเหตุผลบางอย่างในส่วนของจักรวาล Marvel แต่ยังไม่ถึงเวลาที่จะพูดถึง วายร้ายอีกตัวที่อยากกล่าวถึงก็คือ โมด็อก (Corey Stoll) หรือแดเรน ครอส หรือเยลโลว์แจ็กเก็ต (Yellowjacket) ซึ่งเป็นวายร้ายที่ถูกบีบอัดไปแล้วในภาคแรก ซึ่งเห็นแล้วว่าโหดๆ เพี้ยนๆ แต่ก็มีซีนเรียกฮาและเรียกยิ้มได้เยอะอยู่นะ
เจาะลึกมากขึ้นจะพบว่าหนังนี้ยังคงมีจุดสังเกตต่างๆ อยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะในการดำเนินเรื่องที่เป็นไปอย่างรวดเร็วตลอดเรื่อง ในด้านอีกด้านก็ทำให้เนื้อเรื่องมีความรวบรัดตัดตอนบางจุดคล้ายกับภาคแรก บทสรุปเรื่องที่แน่นอนทำได้ดีเลย แต่ก็มีจังหวะแอบรีบจบเล็กน้อย นั้นทำให้อยากย้ำประเด็นครอบครัว ที่มี 2 ครอบครัวในภาคนี้ ยังคงไม่ลึกซึ้งนัก จนแอบขาดความเป็นหนังครอบครัวแบบสองแรกไปนิดหน่อย
รวมทั้งการปูเรื่องราวความเป็นไปเป็นมาของแคง และความลับเกี่ยวกับมิติควอนตัมของเจเน็ต ซึ่งเป็นคนอยู่ในมิติควอนตัมมานาน 30 ปี ค่อนข้างเบาบางและมีผลต่อเนื้อเรื่องน้อยนิด รวมทั้งตัวละครที่ใหญ่ๆ ถูกวางไว้เป็นปริศนา เอาเข้าจริงก็ก็มาไวไปไวมากดูแล้วรู้สึกใช้นักแสดงไม่คุ้มเลย
จุดเด่นและจุดสังเกต Ant Man
เรื่องมีการเดินเนื้อเรื่องที่รวดเร็วและกระชับ ไม่มีจุดที่เว้นให้เสียเวลาไป โจนาธาน เมเจอร์ส ที่รับบทแคงได้ทำการแสดงออกมาได้อย่างน่าสนใจ มีความหล่อและโหดผสมความเป็นเจ้าเล่ห์ แท้จริงนี้อาจจะเป็นเพชรประจำ Saga เลยก็ว่าได้ ตัวร้ายอย่างโมด็อกขโมยซีนอย่างไม่น่าเชื่อ ส่วนตัวเรื่องดูสนุกและเหมาะสำหรับครอบครัว มีจุดเนือยรวบๆ บ้างแต่ไม่มาก นี่อาจจะเป็นแรงส่งไปให้ถึงเฟสที่ 5 ที่น่าสนใจและถือว่าทำได้ไม่เลวเลย ถ้าเปรียบเทียบกับเฟส 4 ที่ดูอาการแล้วหงอยๆ ยังไม่แน่ปกติเท่าไหร่
การใช้นักแสดงในภาคนี้เป็นตัวละครปริศนาน้อยไป ไม่ค่อยคุ้ม รูปแบบการดำเนินเรื่องเร็ว มีความรวบรัดในบางจุดคล้ายกับภาคแรก บทสรุปเรื่องที่ดูรีบจบ ทำให้การย้ำประเด็นดราม่าครอบครัวอยู่นิดหน่อย การปูเรื่องที่มาที่ไปของแคง และความลับเกี่ยวกับมิติควอนตัมของเจเน็ต ดูน่าจะเบาบางไปสักนิด ทำให้มีผลโดยต่อเนื้อเรื่องที่น้อยลงหน่อย แคงมีความโหดและโหดมากกว่าธานอส แต่ยังไม่เกินความคาดหมายมากนัก ถ้าคุณติดตามธีมมัลติเวิร์สหรือเคยดูซีรีส์ Loki แล้ว คงจะสามารถเดาได้ว่าแคงจะเป็นอันตรายในระดับมัลติเวิร์สอย่างไร
บทสรุปการรีวิวเรื่องนี้ Ant Man
ในความคิดของผู้กำกับ Peyton Reed และทีมงานทำได้สำเร็จคือการยกระดับซูเปอร์ฮีโร่รองให้เป็นตัวตึง และนำแฟนมาร์เวลเข้าสู่เฟสใหม่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ก็ยังคงมีส่วนของความรู้สึกเก่าๆ ให้กับแฟนมาร์เวล ที่หนังมีฉากแถม 2 ตัว ระหว่างเครดิตและท้ายเครดิต ที่นั่นแปลว่า ผู้ชมห้ามลุกไปไหนเพราะอาจจะพลาดสิ่งเซอร์ไพร์นี้ก็ได้
ทั้งหมดนี้โดยรวมเป็นหนังที่เปิดตัวในฟาสซ์ 5 ได้อย่างน่าสนใจและไม่ใช่เรื่องแย่เลย หนังดูมีความรู้สึกที่แตกต่างจาก 2 ภาคแรก แม้อาจจะมีจุดบางจุดที่หลุดไปบ้าง แต่ก็ยังคงมีจังหวะที่ดี ดูง่าย แปลกประหลาด และสร้างสรรค์ ได้พาผู้ชมผจญภัยในมิติควอนตัมที่น่าตื่นตาตื่นใจมากกว่าเดิม เป็นหนัง Marvel ที่ดูแล้วเพลิดเพลิน เช่นเดียวกับ The Flash 2023 ซึ่งทีมงานของเราก็เคยทำรีวิวให้ชมกันแล้ว
นอกจากนี้ยังมีฉากซีจีที่ดีและน่าพอใจ นำเสนอในระบบ IMAX ได้อย่างดี และมีบรรดาสัตว์แปลกๆ ที่น่าสนใจสำหรับเด็กๆ นอกจากนี้ จุดเด่นอีกอย่างคือ โจนาธาน เมเจอร์ส ในบทแคงผู้พิชิต ที่จะทวีความโหดยิ่งขึ้นกว่านี้ได้อย่างแน่นอน รับรองเลยว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ทำให้ทุกคนประทับใจได้อย่างแน่นอนเลยแหละ