รีวิว Shazam! Fury of the Gods

รีวิวหนังแฟนตาซี Shazam! Fury of the Gods หรือ ชาแซม จุดเดือดเทพเจ้า กันนะ ชาแซมภาค 2 เป็นภาพยนตร์ซูปเปอร์ฮีโร่สุดเกรียนของค่าย DC ภาคต่อของ Shazam! (2019) เรื่องราวของซูปเปอร์ฮีโร่เด็กน้อยที่เมื่อเขาตะโกนคำว่า ชาแซม เขาจะกลายเป็นฮีโร่ร่างใหญ่ทันที ซึ่งในครั้งนี้เขาและเหล่าพี่น้องนักสู้ต้องมาพบเจอกับวายร้ายที่มายังโลกมนุษย์ที่หมายจะยึดครองโลกนี้ สำหรับ เรื่องราวในหนังเรื่องนี้จะดำเนินไปเช่นไร จะสนุก และน่ารับชมแค่ไหน ไปติดตามต่อในรีวิว จากทางเราได้เลย อ่านรีวิวจบแล้วอยากดูหนังเรื่องนี้ ตามไปชมกันได้ที่ doonungvip.com เว็บหนังออนไลน์คุณภาพวีไอพี ส่งตรงถึงหน้าจอของคุณ

พระเอก

ข้อมูลทั่วไป

Shazam! Fury of the Gods หรือ ชาแซม! จุดเดือดเทพเจ้า เป็นเรื่องราวภาคต่อของซูเปอร์ฮีโร่ที่เต็มไปด้วยฉากแอ็คชั่นที่จะมาสร้างความตื่นเต้น การผจญภัย และความตลกที่มากขึ้น พร้อมกับการนำเสนอดินแดนแห่งใหม่ อุปสรรคขนาดใหญ่ เหล่าสัตว์ประหลาด และตัวละครตำนานของซูเปอร์ฮีโร่ ณ ขณะนี้เขาได้รับพลังจากเทพเจ้าอย่างเต็มที่

ซูเปอร์ฮีโร่ร่างใหญ่ที่มีหัวใจเหมือนเด็กกลับมาแล้ว หลังจากที่เคยสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมด้วยการวาดลวดลายอันขบขันกับบุคลิกของเขา และในภาคก่อนหน้านี้เราได้รับรู้ถึงที่มาของพลังและกระบวนการที่ทำให้เขาเปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่ที่มีพลังอันน่าทึ่ง และในครั้งนี้ Shazam Fury of the Gods หรือในชื่อไทยว่า ชาแซม! จุดเดือดเทพเจ้า จะพาทุกคนเข้าสู่การผจญภัยครั้งใหม่ในการต่อสู้กับความชั่วร้ายเพื่อปกป้องพลังและโลกของตนเอง และคำถามคือว่าทุกคนพร้อมหรือไม่ที่จะเอ่ยคำวิเศษนั้นออกมาให้ดังกัน

Shazam อควาแมน

จากผู้กำกับคนเดิม David F. Sandberg ที่เติบโตมาจากการทำภาพยนตร์สั้นที่ชื่อว่า Ponysmasher บนยูทูบ และต่อมาได้มีโอกาสกำกับหนังสยองขวัญทั้ง Lights Out และ Annabelle Creation หลังจากที่เขาได้กำกับภาคแรกของซาแชมไปแล้ว ผลตอบรับออกมาเป็นที่น่าพอใจ ในขณะนี้เขาได้รับโอกาสในการกำกับภาคต่อที่จะพาเราไปพบกับธิดาทั้งสามแห่งแอตลาส

Shazam! Fury of the Gods เป็นหนังที่พยายามสื่อสารเกี่ยวกับเรื่องราวของวัยรุ่นที่โตขึ้น วัยที่กำลังโตพอที่จะเริ่มมีความรัก และเด็กๆ อีก 3 คนที่กำลังค้นหาตัวเองว่าต้องการอะไร ดังนั้นเมื่อทุกคนในเรื่องพยายามที่จะเป็นผู้ใหญ่ ความสดใสของวัยเด็กจะต้องถูกแทนที่ไปกับความซีเรียสมากขึ้น ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้

ประเภทของภาพยนตร์เรื่องนี้ แอ็คชั่น, ผจญภัย, ตลก โดยมีผู้กำกับคือ เดวิด เอฟ. แซนเบิร์ก นักแสดงนำมี แซ็คคารี ลีวาย, เฮเลน เมียร์เรน, ลูซี่ หลิว, แอชเชอร์ แอนเจล ระยะเวลาของหนังเรื่องนี้ 130 นาที วันที่เข้าโรงภาพยนตร์ฉายในไทย 16 มีนาคม 2023

นักแสดงในเรื่อง

แซคคารี ลีวาย รับบทเป็น ชาแซม บิลลีที่เปลี่ยนร่างเป็นฮีโร่ร่างล่ำบึ้ก

เอเชอร์ แองเจิล รับบทเป็น บิลลี แบตสัน เด็กหนุ่มน้อยที่ได้รับพลังจากพระเจ้า

แจ็ก ดีแลน เกรเซอร์ รับบทเป็น เฟรดดี ฟรีแมน พี่ชายของบิลลี่ที่ชื่ออดัม โบรดี้ เป็นผู้ที่เป็นแฟนตัวยงของเขา ซึ่งเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่มีความเป็นผู้ใหญ่และเป็นตัวละครสำคัญในเรื่อง 

อดัม โบรดี รับบทเป็น ซุปเปอร์ฮีโร่เฟรดดี้

เรเชล เซเกลอร์ รับบทเป็น แอนเธีย เป็นลูกสาวของแอทลาส

รอส บัตเลอร์ รับบทเป็น ซุปเปอร์ฮีโร่ยูจีน

ฮีโร่รวมพลัง

เอียน เฉิน รับบทเป็น ยูจีน ชอย

ดี. เจ. โคทรอนา รับบทเป็น ซุปเปอร์ฮีโร่เปโดร

โจแวน อาร์มานด์ รับบทเป็น เปโดร พีน่า

เกรซ แคโรลีน เคอร์รีย์ รับบท แมรี บลอมฟิลด์

มีแกน กู๊ด รับบทเป็น  ซุปเปอร์ฮีโร่ดาร์ล่า

เฟท เฮอร์แมน รับบทเป็น ดาร์ลา ดัดลีย์

ลูซี หลิว รับบทเป็น คะลิปโซ

จีมง อูนซู รับบทเป็น พ่อมด

เรื่องย่อ

ชาแซม จุดเดือดเทพเจ้า คือเรื่องราวภาคต่อของ บิลลี่ แบทสัน หนุ่มวัยรุ่นที่ถูกเลือกโดยพ่อมดสภาจอมขมังเวทย์ พบกับการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่งเมื่อเขาพูดคำว่า ชาแชม! เขาจะกลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่ผู้ใหญ่ร่างกายกำยำและมีความมั่นใจอย่างชาแซม พร้อมกับพลังเหนือมนุษย์ที่มาจากเหล่าเทพปกรนัมกรีก

แต่ในขณะเดียวกัน บิลลี่ยังคงเป็นเด็กหนุ่มเนิร์ดๆ ที่ต้องเผชิญกับความยุ่งเหยิงในวัยเรียน โชคดีที่เขามีเพื่อนคู่หูอย่างเฟรดดี้ที่ชื่นชอบซูปเปอร์ฮีโร่ ความท้าทายเกิดขึ้นเมื่อเขาและเพื่อนๆ รวมตัวกันเป็นกลุ่มซูเปอร์ฮีโร่ที่ชื่อว่า ชาแซมแฟมิลี่ ที่เกิดขึ้นจากเหล่ากลุ่มเด็กกำพร้าที่ต่างพร้อมที่จะเข้าต่อสู้ และหลังจากที่เขาได้รับพลังที่มาจากพระเจ้าไปแล้ว บิลลี่ แบทสัน และเพื่อนๆ ของเขาต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตในช่วงวัยรุ่น แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงมีความเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่กลายร่างเป็นผู้ใหญ่ที่มีความมั่นใจอยู่ในภายในตัว

Shazam นักแสดงหญิง

แต่เมื่อธิดาแห่งแอตลาสทั้งสาม คือ เฮสเพอร่า, กาลิปโซ่, และแอนเธีย ผู้ที่มีความแค้นเพราะยุคเทพเจ้าโบราณ ทั้งสามได้มาปรากฏตัวที่โลกเพื่อที่จะทวงพลังที่ถูกขโมยไปคืน บิลลี่ หรือชาแซม และครอบครัวจึงต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้เพื่อปกป้องพลังของตนเอง ครอบครัว และโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่นั้น

วิเคราะห์หนัง Shazam

สำหรับภาคนี้ เฮนรี เกย์เดน ผู้ร่วมเขียนบทและกลับมาสร้างสรรค์เรื่องราวที่ได้ร่วมมือกับคริส มอร์แกน ผู้เคยเขียนบทในหนังเรื่อง Fast and Furious มาร่วมกันสร้างสรรค์บทใหม่ให้เต็มเปี่ยมด้วยความยิ่งใหญ่และความบันเทิง และน่ายกย่องคือบทเรื่องที่พวกเขาสร้างขึ้นมาไม่ได้ขี้เกียจในการสร้างความบันเทิง มันมีทั้งเรื่องราวเกี่ยวกับเทพปกรณัมกรีก การมองหาความเชื่อมั่นในตนเองของซูเปอร์ฮีโร และเรื่องราวความอบอุ่นของครอบครัวที่ผสมผสานกับความขบขันอย่างลงตัว

ภาพรวมของหนังนี้เป็นหนังเพื่อความบันเทิงอย่างแท้จริงเลยแหละ ที่ทำให้รู้สึกว่าไม่เสียดายค่าตั๋วที่ได้ซื้อไปเลยจริงๆ เพราะคุณจะได้พบกับมังกร สัตว์ตำนานกรีก รวมถึงฉากแอ็คชันที่น่าตื่นเต้นสุดๆ และการเรียกเสียงฮาด้วยสารพัดมุกมาในแบบกลัวเบื่อเลยทีเดียว แต่ผลลัพธ์ที่ได้มากลับกลายเป็นหนังที่ไม่น่าจดจำไปซักเท่าไหร่ คงเป็นไปได้ว่าสาเหตุอาจอยู่ที่การกำกับของ David F. Sandberg หรืออาจเป็นผลจากการแก้ไขของสตูดิโอ Warner Discovery ก็ได้

ฉากประทับใจ

เมื่อพูดถึงสิ่งดีๆ ที่หนังนี้นำเสนอเบื้องต้น มีความรู้สึกว่าหนังนั้นแค่ บอกให้รู้ แต่ไม่ได้ บอกเล่าให้รู้สึกมีอารมณ์ร่วมด้วย เพราะในหนังเพียง 20 นาทีแรกของหนัง เราก็เหมือนได้รับข้อมูลจากตัวอย่างเกือบหมดแล้วแต่ไม่ได้หมายถึงว่าเราเห็นทุกฉากในตัวอย่างหนัง

เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยที่มาพร้อมรายละเอียดของเหตุการณ์ เพื่อให้เรารู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ในตัวอย่างเราสามารถเห็นว่า เจ๊ ที่ปรากฏในตัวอย่างนั้น คือโกรธที่เมื่ออาณาจักรถูกทำลายไป และไม่ใช่เพียงการเอาคืนพลังเวทของชาแซมเท่านั้น หลังจากนั้นเราเห็นว่ามีการลักพาตัว และการดูดพลังญาติในครอบครัวของ บิลลี แบตสัน จนทำให้พวกเขากลายเป็นคนธรรมดาและเกิดอาเพศเมื่อเทพคิดจะทำลายโลกมนุษย์ ในขณะที่ฮีโร่ที่กำลังสูญเสียความมั่นใจก็ไม่ทราบว่าจะสามารถเผชิญหน้ากับภัยคุกคามนี้ได้อย่างไร ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนเล็กในเนื้อหาที่สร้างความน่าสนใจในตัวอย่างนี้ 

เพียงแต่ยังไม่ได้บอกเล่าถึงรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องมังกรที่มีที่มาอย่างไร แต่ถูกเล่าเพียงแค่ 2-3 ประโยคเท่านั้น ระหว่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเราเห็นสัตว์ตำนานกรีกที่กำลังบุกล้ำโลก รวมไปถึงฉากที่ให้ญาติของบิลลี่ได้โชว์พลังกันสักหน่อย และที่สำคัญเรื่องราวในครอบครัวของบิลลีหนังให้เวลากับแอชเชอร์ แองเจิลน้อยมาก เพื่อที่จะให้แซคารี ลีวาย ในร่างของชาแซมเด่นที่สุด กลายเป็นว่าปมเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวที่เคยเป็นจุดที่หลายคนประทับใจในภาคแรกจางหายไปอย่างน่าเสียดาย

หลังจากถูกเลื่อนการฉายมาถึง 3-4 ครั้ง สุดท้ายหนังก็มีกำหนดในวันที่ 16 มีนาคม ทำให้เซอร์ไพร์สหลักของหนังที่เกิดขึ้นในช่วงท้ายเหมือนกับการเฝ้ารอสิ่งที่อาจจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว หนังเองเริ่มสร้างในช่วงก่อนเจมส์ กันน์เข้ามา เมื่อหนังมีความยาวถึง 2 ชั่วโมงกว่า แม้ว่าจะพยายามเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ปมได้หลายจุด เช่น ความสัมพันธ์ของลูกสาวแห่งแอตลาสที่แต่ละคนต่างมีคาแรคเตอร์ที่ไม่สมดุลที่อยู่ๆ ก็ร้ายแต่สักพักกลับกลายเป็นคนดีโดยไม่เหตุผล

หนังยังมีจุดที่น่าเสียดายมากที่สุดคือการที่หนังละเลยด้านมืดจากการเติบโตของบิลลี แบตสัน ที่น่าจะเป็นธีมหลักในการเล่าเรื่องของหนังภาคนี้ แต่ไม่ได้ถูกเน้นมากพอ เราเกือบไม่ได้เห็นผลจากการตัดสินใจแบบเด็กๆ ของเขา โดยเฉพาะผลกระทบที่เกิดกับครอบครัวที่รักเขามาก แต่เขากลับหลงอยู่ในบทบาทของซูเปอร์ฮีโรอย่างชาแซม ทำให้เรื่องวีรกรรมของเขาดูไม่น่าประทับใจเมื่อมองในมุมของภาพยนตร์ที่ดีเรื่องหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความน่าเสียดาย แต่เราก็ยังได้พบกับการแสดงที่น่าชมในบทของแจ็ค ดีแลน เกรเซอร์ (Jack Dylan Grazer) ที่รับบทเฟรดดี้เพื่อนรักขาพิการ ที่เขาสามารถแสดงความสดใสและการมองโลกในแง่ดีในขณะเดียวกันได้อย่างมีเสน่ห์ ท่ามกลางฉากแอคชั่นที่อัดแน่นนั้น นอกจากนี้เคมีระหว่างเกรเซอร์และเรเชล เซเกลอร์ (ที่กำลังจะรับบทสโนว์ไวต์) ถือว่าดีมากๆ ซึ่งกลายเป็นหัวใจหลักของเรื่องได้อย่างน่าชื่นชม

และสิ่งที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งก็คือการแสดงของเกรซ แคโรไลน์ เคอร์รีย์ ในบทบาทของแมรี บรอมฟีลด์ พี่สาวคนโต ที่ถ้าเธอปรากฏตัวออกมาเมื่อไหร่เป็นได้ยิ้มกันแบบลืมไปเลย โดยในภายนี้เธอได้ปรากฎตัวในชุดซูเปอร์ฮีโร่ครอบครัวชาแซม ซึ่งแต่เดิมเราจะเห็นมิเชล บอร์ธ ในชุดนั้น ถึงแม้บทของเธอจะไม่ได้เป็นบทที่น่าจดจำแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าท่ามกลางฉากแอคชั่นสุดมันส์แต่เกรซ แคโรไลน์ เคอร์รีย์ ก็เป็นสิ่งที่สวยงามให้ทุกคนได้ชมกัน

จุดเด่นและจุดสังเกต Shazam

เป็นหนังที่มีคุณภาพของงานภาพที่เหมาะกับการฉายในโรงภาพยนตร์ ความสวยงามและความน่ามองของ เกรซ แคโรไลน์ เคอร์รีย์ เป็นจุดเด่นสำคัญของหนังไปเลย เคมีที่เกิดขึ้นระหว่าง แจ็ค ดีแลน เกรเซอร์ และ ราเชล เซเกลอร์ ได้สร้างความน่าสนใจและประทับใจนอกเหนือจากฉากแอ็กชัน ฉากเอนด์เครดิต และท้ายเอนด์เครดิต สนุกและบันเทิงมากที่ทุกคนไม่ควรพลาดเลย

Shazam ฮีโร่

เป็นหนังที่การดำเนินเนื้อเรื่องไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เคลียร์ประเด็นหลายอย่างไม่ได้ หลายซีนมีตัวละครโผล่มาโดยไม่มีการอธิบายที่ไปที่มาให้ชัดเจน

บทสรุปการรีวิวเรื่อง Shazam

ในภาพรวม Shazam! Fury of the Gods เป็นหนังที่ดูเพื่อความบันเทิง มีการผสมผสานความขำขันจากมุกตลกและซีนมุ้งมิ้ง พร้อมกับฉากแอ็กชันที่สร้างความตื่นตาตื่นใจบ้าง เป็นหนังที่ให้ความสนุกดี อย่างไรก็ตามต้องยอมรับในส่วนของการเล่าเรื่องที่บางครั้งอาจจะไม่ชัดเจนอยู่บ้าง ขาดที่มาที่ไปที่ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องมีความเข้าใจ

Shazam นักแสดงฮีโร่

 และที่สำคัญควรจะดูภาคแรกด้วยจะช่วยให้เข้าใจเนื้อเรื่องได้ดีขึ้น และสำคัญที่สุดคือหนังมีฉากช่วงเอนด์เครดิตและฉากท้ายเอนด์เครดิตที่มีความสำคัญต่อทิศทางและอนาคตของชาแซมเลย บอกเลยว่าถ้าหากใครได้ดูก็จะสนุกและประทับใจจริงๆ

สุดท้ายก่อนจากกันไปทีมงานเราขอแนะนำหนังไซไฟเรื่องเยี่ยม Simulant โลกร่างเสมือน เรื่องราวของอีกโลกหนึ่ง ที่สร้างความสนุกสุดมันส์ในเรื่อง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *